Table of Contents
ประวัติ Pokemon
ครั้งวัยเด็ก “ซาโตชิ” หลงใหลการสะสมแมลงจนใครก็คิดว่าอนาคตเขาน่าจะเอาดีสายนี้ แต่เมื่อวันวานพัดผ่านเทคโนโลยีพัฒนาพาให้เด็กญี่ปุ่นยุคนั้นรู้จักกับวิดีโอเกม นั่นทำให้เด็กหนุ่มเบนเข็มมาคลั่งไคล้การเล่นเกม โดดเรียน ติดเกม ชำแหละเครื่องแฟมิคอมและลองทำเกมเอง จนท้ายสุดให้กำเนิดเกมระดับตำนานอย่าง Pokémon ขึ้น แต่กว่าจะถึงเส้นชัยก็เรียกได้ว่าโดนอุปสรรคถล่มใส่จนแทบเจียนตาย นี่คือบทความย้อนประวัติ Pokemon ผ่านการแอบมองลอดเลนส์ผู้ให้กำเนิดอย่าง “ซาโตชิ ทาจิริ”
เด็กคลั่งไคล้แมลง
ซาโตชิ ทาจิริ (Satoshi Tajiri) ช่วงวัยเด็กเขาเกิดและเติบโตในเมืองมาจิดะ แม้จะอยู่ในเมืองหลวงอย่างโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น แต่บรรยากาศในยุคนั้นก็ยังแวดล้อมไปด้วยป่าเขาแบบชนบท จึงไม่แปลกที่ซาโตชิจะมีงานอดิเรกเป็นการสะสมแมลง เด็กคนอื่นถึงกับเรียกเขาว่า Dr.Bug ความฝันวัยนั้นของซาโตชิคือการได้เป็นนักวิทยาศาสตร์ด้านแมลง แต่เมื่อวันเปลี่ยนผ่านญี่ปุ่นเจริญขึ้นพื้นที่สีเขียวก็ถูกถาง ที่อยู่อาศัยแมลงเริ่มหายไป กิจกรรมยามว่างใหม่ของเด็ก ๆ ยุคนั้นรวมถึงซาโตชิจึงแปรเปลี่ยนเป็นการคลุกคลีกับวิดีโอเกม
ช่วงวัยรุ่นซาโตชิชื่นชอบเครื่องเกมอาร์เคดมาก เขาคลั่งรักเกมบังคับยานอวกาศยิงเอเลี่ยนสไตล์พิกเซลอย่าง Space Invaders (1978) และโดดเรียนไปเล่นเกมบ่อยครั้งจนพ่อแม่กังวลว่าซาโตชิจะกลายเป็นคนเหลวแหลกติดเกมไปวัน ๆ เสียแล้ว เขาหลงใหลในวิดีโอเกมมากถึงขั้นเคยชำแหละเครื่องแฟมิคอมเพื่อศึกษาดูว่ามันทำงานยังไง เขาไม่เข้าเรียนมหาวิทยาลัยแต่ตัดสินใจเรียนหลักสูตรระยะสั้น 2 ปีในแขนงวิทยาการคอมพิวเตอร์แทน แต่แทนที่จะไปต่อเส้นทางไอที ซาโตชิเลือกก่อตั้งนิตยสารแฟนซีนอย่าง Game Freak ขึ้น
ผู้ออกแบบ Pokemon 150 ตัวแรก
Game Freak เป็นนิตยสารแฟนซีน (นิตยสารที่ทำโดยมือสมัครเล่น) เกี่ยวกับคู่มือการเล่นและ Easter Egg วิดีโอเกม ทีแรกซาโตชิทั้งเขียนเนื้อหาและวาดภาพประกอบเองทั้งหมด หนังสือทำยอดขายได้ดีระดับหนึ่ง แต่นั่นไม่ได้สำคัญหากเทียบกับว่ามันพาให้ซาโตชิมารู้จักกับ “เค็น ซูงิโมริ (Ken Sugimori)” ผู้ที่อนาคตจะกลายเป็นคนดีไซน์ Pokémon 150 ตัวยุคแรกเริ่มและกำกับศิลป์ให้กับเกมนี้
เค็นบังเอิญไปเจอกับนิตยสาร Game Freak ในร้านหนังสือและรู้สึกถูกจริต จึงตัดสินใจติดต่อซาโตชิไปจนได้มาเป็นนักวาดภาพประกอบให้นิตยสารนับแต่นั้น วันหนึ่งซาโตชิมองว่าเกมในยุคเขาคุณภาพไม่ดีเอาเสียเลยจึงเกิดความคิดอยากสร้างเกมของตนเองขึ้น ลงมือศึกษาวิธีทำเกม และตัดสินใจเปลี่ยน Game Freak เป็นบริษัทพัฒนาเกมในปี 1989 คลอดเกมแรกออกมาชื่อ Mendel Palace ซึ่งประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง
กำเนิด Pokemon
ซาโตชิปิ๊งไอเดียเกม Pokémon ตอนเห็นว่าเครื่อง Game Boy (1989) มันสามารถเชื่อมต่อแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้ด้วยสาย Game Link Cable นั่นทำให้เขานึกถึงการเล่นสะสมแมลงช่วงวัยเด็กและคิดว่าคงจะดีถ้ามีเกมที่ทำให้เด็ก ๆ สามารถแลกเปลี่ยนแมลงกันได้ จึงเอาไอเดียนี้ไปเสนอกับทาง Nintendo และถูกปัดตกหลายครั้งเนื่องจากคนของปู่นินไม่เข้าใจไอเดียและมองว่าคอนเซ็ปต์เกมมันซับซ้อนเกินไป จนไปเตะตาชิเงรุ มิยาโมโตะ (Shigeru Miyamoto) ผู้ให้กำเนิดเกม Super Mario Bros เขาชื่นชอบไอเดียของซาโตชิเอามาก ๆ จึงเข้ามาช่วยกรุยทางหยิบยื่นโอกาสให้กับ Game Freak และก็เป็นชิเงรุนี่เองที่เสนอว่าควรทำเกมออกมา 2 เวอร์ชัน แต่ละเวอร์ชันมี Pokémon แตกต่างกันเพื่อให้ผู้เล่นต้องเอาสายมาเชื่อมต่อจึงจะสามารถแลกเปลี่ยนสะสม Pokémon ให้ครบ 150 ตัวได้ เดิมเกมจะใช้ชื่อว่า Capsule Monsters แต่ติดปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์จึงย่อเป็นคาปูมอน แต่ท้ายสุดมาจบที่ Pocket Monsters ซึ่งย่อเป็น Pokémon อีกที
พวกเขาใช้เวลาพัฒนาเกมนี้ถึง 6 ปีระหว่างนั้นบริษัทแทบจะล้มละลาย พนักงานทยอยลาออกเพราะบริษัทไม่มีเงินจ่ายค่าจ้าง แม้แต่ซาโตชิก็ไม่ได้รับเงินเดือนต้องอาศัยเงินช่วยเหลือจากพ่อ แต่ที่สุดก็มีคนหยิบยื่นทางรอด Creatures Inc. บริษัทเกมที่ค่อนข้างใกล้ชิดกับ Nintendo ได้เข้ามาลงทุน (ซึ่งภายหลังได้กลายเป็นหุ้นส่วน The Pokémon Company ดูแลทั้งแฟรนไชส์ Pokémon ควบคู่กับ Game Freak และ Nintendo ในปัจจุบัน) จน Game Freak สามารถเข็น Pokémon ภาคแรกอย่าง Pokémon Red and Green ออกมาได้สำเร็จ และตั้งชื่อตัวละครเอกว่า “ซาโตชิ” ตามชื่อของซาโตชิ ทาจิริ พร้อมหยิบยืมชื่อผู้มีพระคุณอย่าง “ชิเงรุ” มาตั้งเป็นชื่อหลานของ ดร.โอคิโดะ (Professor Oak) คู่แข่งของเราตลอดทั้งเกม
โปเกม่อนตัวที่ 151 “ข่าวลือเรื่องมิว ”
ช่วงที่เกมเพิ่งพัฒนาเสร็จและอยู่ในขั้นตอนก่อนวางขาย ซาโตชิคิดว่า Nintendo คงจะยกเลิกโปรเจกต์เขาแน่ เพราะตอนนั้นเครื่อง Game Boy เริ่มได้ความนิยมน้อยลงจนสื่อถึงขั้นให้ฉายาว่า “เครื่องเกมที่ตายแล้ว” แต่ที่สุดเกมได้วางขายและประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง ยิ่งมีข่าวลือเรื่อง Pokémon ตัวที่ 151 อย่างมิว (Mew) เกมเมอร์ก็ยิ่งไฮป์ พากันสรรหาวิธีมาปลดล็อกตัวละครลับกันให้ควั่ก
ที่จริงแล้ว Pokémon ดั้งเดิมที่เค็นออกแบบจะมีเพียง 150 ตัวเท่านั้น แต่เนื่องจากโปรแกรมเมอร์นึกสนุกแอบใส่ Pokémon พิเศษอย่าง Mew เข้าไปในช่วงท้ายของการพัฒนาโดยแม้แต่เค็นก็ไม่รู้เรื่องนี้ โดยเขาตั้งใจจะให้มันเป็นตัวละครลับที่มีเพียงพนักงาน Game Freak เท่านั้นที่รู้และสามารถครอบครองได้ แต่ท้ายสุดผู้เล่นกลับค้นพบวิธีปลดล็อกได้ด้วยวิธีต่าง ๆ ไม่ว่าจะโดยสูตรโกงหรือใช้กลิตช์ของเกม เมื่อซาโตชิรู้ถึงกระแสนี้จึงโหมข่าวออกไปจนมันกลายเป็นข่าวลือที่มาจากออฟฟิเชียล Nintendo ก็รับลูก จัดอีเวนต์พิเศษแจกตัวละครมิวให้กับผู้เข้าร่วมงานแบบออฟไลน์เสียเลยยิ่งทำให้กระแสเกมนี้จุดติดแบบใครก็เอาไม่ลง และเกิดภาคต่อออกมาอีกมากมายรวมถึงสื่ออื่น ๆ ไม่ว่าจะของเล่น มังงะ อนิเมะ และภาพยนตร์ ฯลฯ
หากอ่านถึงท้ายบทความแล้วสนใจอยากสัมผัสไวบ์เกมภาคแรกอย่าง Pokémon Red and Green บนเครื่องคอนโซลยุคปัจจุบัน ทาง Game Freak ก็ได้รีเมคเกมภาคออริจินัลมาลงให้กับเครื่อง Nintendo Switch เป็นที่เรียบร้อยแล้วในชื่อภาค Pokémon Let’s Go, Pikachu! and Let’s Go, Eevee! ซึ่งเนื้อเรื่อง โลเคชัน บรรยากาศทั้งหมดจะยังคงคล้ายเดิม เพียงแต่ปรับเปลี่ยนกราฟิกและทำระบบการเล่นใหม่ให้เข้ากับยุคปัจจุบัน รับรองว่าใครที่เคยสัมผัสเกมภาคแรกเหมือนกับผู้เขียนจะต้องตื้นตันกับความทรงจำดี ๆ ที่พรั่งพรูกลับมาอย่างท่วมท้นแน่นอน
Pokémon Let’s Go, Pikachu!
📌 https://s.shopee.co.th/7AK3KZCcUP
Pokémon Let’s Go, Eevee!
📌 https://s.shopee.co.th/2VYDm2BiDb
Ref: bbc.co.uk, en.wikipedia.org