หลังอีลอน มัสก์ทุ่มเงินมหาศาลจนขึ้นแท่นเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ทวิตเตอร์ไปเมื่อช่วงต้นเดือน ล่าสุดเขาเสนอเงินราว 1.5 ล้านล้านบาทขอฮุบทั้งบริษัทเนื่องจากเขามองว่าปัจจุบันทวิตเตอร์ไม่มีทางที่จะเติบโตและจะไม่ตอบสนองหลักการเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
มหากาพย์อีลอน มัสก์กับทวิตเตอร์ยังคงเข้มข้น หลังมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลกอย่างเขามองว่าปัจจุบันทวิตภพไม่เคารพหลักเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นอันเป็นพื้นฐานการปกครองในระบอบประชาธิปไตยเพราะบริษัทเข้ามาแทรกแซงการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง รวมถึงปิดกั้นข้อความ บัญชีผู้ใช้ ฯลฯ ที่บริษัทมองว่าแสดงออกอย่างไม่เหมาะสมโดยเฉพาะท่ามกลางสถานการณ์สงครามรัสเซียรุกรานยูเครน และด้วยแนวคิดนี้มัสก์จึงทุ่มเงินซื้อหุ้นกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่รวมถึงมีสิทธิเข้ารับตำแหน่งคณะกรรมการบริษัท อย่างไรก็ดี เขาปฏิเสธตำแหน่งนั้นโดยไม่ระบุเหตุผลสร้างความงุนงงให้กับคนที่ติดตามข่าว
ล่าสุด มัสก์เคลื่อนไหวอีกครั้งปรากฏข้อมูลในเอกสารที่ยื่นต่อคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ ว่าเขาต้องการเสนอซื้อหุ้นทวิตเตอร์ทั้งหมด 100% โดยยินดีจะจ่าย 54.20 ดอลลาร์ต่อหุ้นด้วยเงินสด รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 43.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นราคาที่แพงกว่าราคาหุ้นก่อนวันที่เขาทุ่มเงินซื้อครั้งที่แล้ว 54% และแพงกว่าราคาก่อนวันประกาศการซื้อขายของเขาสู่สาธารณะหนึ่งวันถึง 38% โดยมัสก์ระบุว่า “นี่คือข้อเสนอที่ดีที่สุดของผม และเป็นข้อเสนอสุดท้าย และถ้าถูกบอกปัดผมจะพิจารณาตัวเองในฐานะผู้ถือหุ้นอีกครั้ง” ทั้งนี้ หนึ่งในสาเหตุที่มัสก์ต้องการฮุบกิจการทวิตเตอร์เพราะเขามองว่าหลังจากเข้าซื้อหุ้นคราวก่อนมัสก์ตระหนักได้ว่าทวิตเตอร์มันไม่มีทางเติบโตและจะไม่ตอบสนองความจำเป็นพื้นฐานทางสังคม (หลักเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น) จึงต้องนำบริษัทออกจากตลาดหลักทรัพย์แปลงกลับคืนเป็นบริษัทเอกชน
อนึ่ง ปัจจุบันบริษัททวิตเตอร์มีฐานะเป็นบริษัทมหาชนที่เปิดขายหุ้นให้ประชาชนทั่วไปเข้าร่วมเป็นเจ้าของ การแปลงกลับคืนเป็นบริษัทเอกชนจึงหมายความว่าจะไม่สามารถเสนอขายหุ้นให้สาธารณะได้อีกต่อไปจึงต้องซื้อหุ้นคืนทั้งหมด 100%
Source: techcrunch.com